ดอยหลวงเชียงดาว เป็นสถานที่ที่อยากไปมานานมาแล้ว คราวนี้ได้ไปเพราะเพื่อนๆ ที่อยู่ทางเชียงใหม่ชวนให้ไปเที่ยว เรียกว่า “ทริปวัดดวงหน้าฝน” เลยก็ว่าได้ เพราะนัดกันไป ช่วงวันที่ 21-22 สิงหาคม 2559 ก่อนวันที่จะไป 1 วัน ฝนตกไม่ยอมหยุด ใจก็เริ่มตุ้มๆ ต่อมๆ กันละว่า จะได้ไปไหม ลุ้นฝนในช่วงกลางคืน 20 สิงหาคม อีกว่า จะตกถึงเช้าไหม หากตกถึงเช้า ก็คงไม่ไป พอเช้า 21 สิงหาคม เหมือนฟ้าจะเป็นใจ ฝนไม่ตก ฟ้าเปิดจ้า แดดสาดเปรี้ยงมาแต่เช้าเลย รีบจัดกระเป๋าทันที ฮาๆ ทริปนี้ไปแบบสบายๆ ขับรถไปเองเลือกเส้นทางเชียงรายไปยัง อ.ฝาง อ.แม่อาย อ.ไชยปราการ และอ.เชียงดาว ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง สำหรับกลุ่มเพื่อนที่อยู่ทางเชียงใหม่ ขับรถไป อ.เชียงดาว ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น และพวกเรานัดเจอกันที่ร้านข้าวขาหมูเก่าแก่ ของ อ.เชียงดาว เจอกับกลุ่มเพื่อนประมาณ 12.30 น. นั่งทานข้าวอะไรกันเรียบร้อย ก็พากันเดินทางไปยังดอยหลวงเชียงดาว โดยเส้นทางที่ไปจะเป็นเส้นทางที่ไปยังถ้ำเชียงดาว
เดินทางไปยังดอยหลวงเชียงดาว โดยใช้เส้นทางเดียวกับทางไป วัดถ้ำเชียงดาว ถนนเป็น 2 เลน มีต้นไม้ตลอดทางซ้ายขวา ร่มรื่นทีเดียว ขับรถเข้าไปได้ซักพักก็ถึงจุดตรวจของกรมอุทยานฯ ซึ่งการจะขึ้นไปยังบนดอยหลวงเชียงดาว จะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ด้วย
แต่พอคุยกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ แล้ว เจ้าหน้าที่แจ้งว่ายังไม่สามารถขึ้นไปบนดอยหลวงได้ เนื่องจากว่าตอนนี้เจ้าหน้าที่กำลังตัดต้นไม้ที่ล้มขวางถนน จะใช้เวลาประมาณ 1.30-2 ชั่วโมง แนะนำให้ไปเที่ยวใกล้ๆ ก่อนแล้วค่อยกลับมาขึ้นดอย แผนการเดินทางเราก็ปรับเปลี่ยนทันที ก็ชวนกันไปเที่ยวยัง วัดถ้ำเชียงดาว และแวะร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อรอเวลาตามที่เจ้าหน้าที่แจ้ง
บรรยากาศภายในวัดถ้ำเชียงดาว
ไหว้พระขอพรเสร็จกันเรียบร้อย ก็ไปไปร้านกาแฟชื่อดัง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ชื่อ ร้านกาแฟ Nest เชียงดาว ทางเข้าและรั้วทำได้เก๋ไก๋ทีเดียว ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
ภายในมีจุดนั่งคุยกัน คล้ายกับการนั่งรอบกองไฟ
นั่งจิบกาแฟ ชมวิวไปพลางๆ ณ ร้านกาแฟเนสเชียงดาว
นั่งกินอะไรนิดหน่อยที่ร้านเนสแล้ว ดูเวลาน่าจะจวนใกล้จะถึงเวลาที่ทางเจ้าหน้าที่ประมาณไว้แล้ว ก็พากันไปกลับไปยังจุดทางขึ้นดอยหลวงอีกครั้ง เจ้าหน้าที่แจ้งว่าตัดไม้เรียบร้อยแล้ว สามารถนำรถขึ้นไปได้แล้ว พวกเราก็พากันขับรถขึ้นไป จากจุดนี้ทางขึ้นอย่างเดียวจริงๆ ขึ้นแบบ ขึ้นๆๆๆๆ และโค้ง ทุกโค้งต้องบีบแตร เพื่อเตือนให้รถที่วิ่งสวนได้ระมัดระวัง ทางแคบ และชัน โค้งหักศอก หากมาช่วงฝนตก ถนนคงจะลื่นน่าดู นี่ขนาดฝนไม่ตก แดดเปรี้ยงปร้าง ยังต้องขับรถด้วยความระมัดระวังสุดๆ
ผ่านจุดที่ต้นไม้ล้ม ถ่ายภาพไว้ได้ทันพอดี
ถนนทางขึ้นไปยังดอยหลวงคดเคี้ยว และลาดชัน แต่ก็ร่มรื่นด้วยป่าไม้ นานาพันธุ์
ระยะทางราวๆ 17-18 กิโลเมตร (ประมาณเอา เพราะว่า ลืมดูระยะทาง เพราะมัวตื่นเต้นวิวข้างทาง อิอิ) ก็ถึงทางเข้าที่พัก เราเลือกพักที่ “บ้านลีซูโฮมสเตย์” (facebook เพจ BaanLisuHomestay) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ ระเบียงดาว (บ้านพักชื่อดัง) สำหรับบ้านพักลีซูโฮมสเตย์นี่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ไม่นาน สภาพบ้านพัก ที่นอน หมอน มุ้ง ห้องน้ำ ยังใหม่อยู่เลย นับว่าโชคดีมากที่เลือกที่พักแห่งนี้ และโชคดีอีกต่อ ได้บ้านพักล่างสุด ซึ่งจะได้วิวหน้าสุด แบบวิวเต็มๆ ไม่เจอหลังคาบ้านหลังไหนเลย
เห็นวิวครั้งแรกได้แต่ ว้าว ว้าว ว้าว กัน นี่คือสวิสเซอร์แลนด์เมืองไทยชัดๆ ได้เห็นกับตา นี่สวยกว่าในรูปซะอีก ใกล้ทางลงไปบ้านพัก มีร้านค้าเล็กๆ เปิดขายของด้วย และที่นี่มีที่พักค่อนข้างเยอะทีเดียว แล้วแต่นักท่องเที่ยวว่าจะเลือกพักที่ไหนกัน สำหรับก๊วนเรา เลือกที่พักบ้านลีซูโฮมสเตย์
ทางลงไปบ้านพัก ความลาดชันน่าจะประมาณ 45 องศา ลงไปมีพื้นที่จอดรถได้ประมาณ 4-5 คัน ด้านบนก็มีจอดได้ประมาณ 3-4 คัน
หลังนี้เป็นห้องครัว และที่ติดต่อบ้านพักลีซูโฮมสเตย์ ที่นี่เขาคิด 500 บาทต่อคน มีอาหาร 2 มื้อ คือ มื้อเย็น และมื้อเช้า พร้อมที่พัก 1 คืน ใช้ไฟจากโซล่าเซลล์ วันไหนแดดแรงก็จะได้ไฟไว้ใช้นานหน่อย วันไหนแดดน้อย ก็จะได้ไฟใช้น้อย ที่นี่เขากำหนดจ่ายไฟให้ตั้งแต่ 19.00 น. – 22.00 น. พวกเราโชคดีหน่อย สามารถเปิดไฟได้ทั้งคืน เพราะว่าช่วงกลางวันแดดแรง อีกทั้งบ้านพัก มีนักท่องเที่ยวมาพักไม่กี่หลัง เลยได้ใช้ไฟได้ตลอดคืน ส่วนน้ำในห้องน้ำทางบ้านพักต้องนำน้ำจากที่อื่น มาให้ใช้ จึงต้องช่วยกันประหยัด ขอบอกว่า น้ำเย็นมาก น้ำเย็นมากอย่างนี้ประหยัดกันอยู่ละ ฮาๆ
หน้าตาที่พักที่เราจะได้นอนพัก และชมวิวกัน
ที่นอน ผ้าห่ม หมอน มุ้ง และมีห้องน้ำในตัวด้วยละจ้า
ช่วยกันประหยัดทั้งไฟ และน้ำจ๊ะ
ยังหิ้วถุงนอนมาเผื่อด้วย ฮาๆ
อยู่บนดอยแล้ว สัญญาณโทรศัพท์ต้องเดินหาตามจุด โชคดีอาจจะได้ 1-2 ขีด ซึ่งต้องเดินออกจากที่พักขึ้นไปบนเนิน เพื่อเดินหาสัญญาณ สรุปว่าบนดอยแทบไม่มีสัญญาณว่างั้นเหอะ ตัดขาดโลกภายนอกไปชั่วคราว ได้พักผ่อนจริงๆ ได้ปิดมือถือกัน สังคมก้มหน้าก็หมดไปโดยปริยาย ดีเลิศประเสริฐศรีจริงๆ เลยงานนี้ การมาเที่ยวแบบนี้ ต้องอยู่กับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมที่เจอให้มากที่สุด ถึงจะคุ้มค่ากับการเดินทางขึ้นมา
นั่งดูวิวกันแบบสุดๆ
มื้อเย็นมาแล้ว เมนูง่ายๆ ธรรมดา แต่อร่อยที่สุดเลย เพราะทานไป ชมวิวไป แบบนี้แหละเขาเรียกว่า จ่ายหลักร้อย ได้วิวหลักล้าน
ทานเสร็จก็ ย่อยอาหารกันต่อไป แบบนี้มั้งที่เขาเรียกว่า ฟิน มันฟินมากกกกก
นั่งรับลม ดูวิว ตลอดทั้งคืน ใต้แสงจันทร์ นอนดูทางช้างเผือก นอนดูดาว ดูทะเลหมอก (หมอกมาตลอดคืน)
เช้ามืดรอดูพระอาทิย์ขึ้น
พระอาทิตย์เริ่มสาดส่องแสง แหวกปุยเมฆขึ้นมาอวดพวกเรา
ช่วงเช้าตรู่ น้องๆ ที่ดูแลบ้านพักนำโอวัลติน กาแฟ และน้ำร้อน มาให้พวกเราได้ชงดื่มกัน ระหว่างรออาหารมื้อเช้า
อาหารมื้อเช้ามาแล้ว ข้าวต้มหมู ถึงจะเป็นเมนูปกติธรรมดาทั่วไป แต่มื้อนี้ไม่ธรรมดา เพราะได้วิวอลังการแถมมาด้วย
เมื่อทานเสร็จ และเก็บของกันครบทุกคนแล้ว ก็เตรียมตัวลงดอยกัน ก็เดินสำรวจกันนิดหน่อย ได้วิวใกล้ๆ มาฝาก
ร้านค้าที่อยู่สุดถนน
ทริปเราสนุกสนาน โหด มัน ฮา กันตลอดวัน ตลอดคืนเลยจ้า แล้วพบกันใหม่ กับก๊วน ไปไหน ไป กัน กัน กัน
Facebook Comments