เมื่อเช้าได้รับเมลล์จากเพื่อน คำเตือนเกี่ยวกับการเซ็นต์เอกสารรับรองสำเนาบัตรประชาชน เอกสารสำคัญต่างๆ นึกขึ้นได้ว่า หนึ่งเคยเจอเรื่องแบบนี้กับตัวเองมาแล้ว
เรื่องของเรื่อง เมื่อราวๆ 5-6 ปี ก่อน จู่ๆ ก็ได้รับหมายศาล เรียกให้ไปขึ้นศาล หมายศาลหนามาก เอกสารเป็นปึกเลย มีระบุคดีดำเลขที่ xxxx หาว่าเราเป็นหนี้ค่าโทรศัพท์ของค่ายดังค่ายหนึ่ง ประมาณ 7 แสนกว่าบาท แค่อ่านก็แทบจะเป็นลม เพราะในหมายศาลระบุชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ถูกต้องเป๊ะ..! ความรู้สึกตอนได้รับ งง ว่าอะไร ต่อมาก็ ใจสั่น จะเป็นลม อาการเครียดพุ่งสูงปรี๊ด!!! เพราะไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ทำ และไม่ได้ใช้บริการของค่ายที่เขาอ้างมา เบอร์โทรอะไรก็ไม่รู้ไม่รู้จัก แต่มันดัน มีชื่อ – สกุล ที่อยู่เราถูกต้อง ตั้งสติ นั่งเปิดอ่านเอกสารทีละหน้า เห็นหลักฐานบางอย่าง โอ้! แม่เจ้า สำเนาบัตรประชาชน หน้าไม่เห็นเลยมืดมากๆๆๆ แต่ดูรูปทรงผม ในรูป มันคล้ายเราจัง ดูที่ชื่อ สกุล หมายเลขบัตรประชาชน ที่อยู่ เหมือนเขาเราเด๊ะ แม้มันจะดูไม่ค่อยชัด ก็พอเห็นรางๆ … แล้วมีลายเซ็นต์ที่เซ็นต์กำกับในเอกสาร โห! รายมือใครสวยจัง มันเขียนกำกับเอกสารเป็นชื่อเรา (ถ้าเราตัวหนังสือสวยเหมือนมันคงจะแย่ ฮาๆ ดีหนะที่เราตัวหนังสือยิ่งกว่าตัวหนังสือหมอ ฮาๆ) อ่านต่อไปอีก มันให้ส่งเอกสารบิลค่าโทรศัพท์ไปที่ไหนไม่รู้เป็นที่อยู่ กรุงเทพฯ และมันกรอกว่าทำงานบริษัทอะไรของมัน .. จะบ้าตาย ชีวิตไม่เคยไปทำงานในเมืองกรุง! ..โดนเข้าแล้วคุณหนึ่งเอ๋ย โดนคนเอาสำเนาบัตรประชาชนโดยการถ่ายซ้ำๆ กันไปเปิดเบอร์โทรศัพท์.. ช่วงนั้นเป็นช่วงฮิตด้วย เรื่องคดีพวกนี้.. อ่านเสร็จ เอาไงต่อกับชีวิต! (เกือบจะไปขายข่าวแล้ว เพราะตอนนั้นแค่ 3 หมื่น ก็มีคนไปออกข่าว นี่เราตั้ง 7 แสน ถ้าไปออกข่าวดังแน่! ) เพื่อนๆ รู้ไหม แม้เราจะมั่นใจว่าเราไม่ได้ทำผิด และมันไม่ใช่เรา เราโดนปลอมตัว เป็นตัวเรา แต่มันก็อดเครียดไม่ได้ ทำเอานอนไม่หลับไปหลายคืน รอบตัวไม่เคยมีใครเจอแบบนี้ ก็ต้องนั่งไล่แก้ปัญหาเอง
เริ่มคิดถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ก่อ นั่งนึกย้อนไป ก่อนหน้านี้ นานมากเคยได้รับใบแจ้งเรื่องเป็นหนี้ค่าโทรศัพท์ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ใช้ เป็นเอกสารจากสำนักงานทนายความ ส่งมา 1 ใบ หนึ่งเห็นว่าชื่อ ตรง ก็เลยเอาไปแจ้งความไว้ที่โรงพัก และก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ เพราะคิดว่าแจ้งความไว้ที่โรงพักว่าไม่ใช่เรา เบอร์ที่ระบุมาก็ไม่ใช่เรา คิดว่าแจ้งแล้วจบ เพราะถามใครเขาก็บอกให้แจ้งความไว้ก่อน .. ดีนะที่เคยแจ้งความไว้ หลังจากนั้นไม่นานหลังจากแจ้งความเราคิดว่าไม่มีอะไร ที่ไหนได้ ก็ได้รับหมายศาลหนาปึก …ตามที่เล่ามา ก็เลยไปค้นเอกสารใบแจ้งความที่เก็บไว้ และก็ติดต่อไปที่เบอร์ทนายตามที่ระบุในหมายศาล เขาแจ้งมาว่าหากเรามีข้อสงสัยโทรไปที่ทนาย ก็ทำการโทรไปเขาให้เรายืนยันตัวเราไป สิ่งที่ต้องส่งไป เช่น ตัวอย่างลายมือเรา ตัวอย่างลายเซ็นต์เรา เซ็นต์ลงบนกระดาษ A4 ประมาณ 100 ลายเซ็นต์ จำไม่ได้ละว่าต้องกี่แผ่น และโชคดีของหนึ่งหน่อยที่ว่า ช่วงนั้นได้มีเซ็นต์สัญญาเอกสารต่างๆ กับหน่วยงานสำคัญๆ ในจังหวัด หลายฉบับ จึงถ่ายสำเนาสัญญาที่เราได้เซ็นต์กับหน่วยงาน มีระบุวันเดือนปี ชื่อเรา ลายเซ็นต์เราเพียบ ซึ่งก็เป็นข้อมูลยืนยันได้ ว่าช่วงไหนเราอยู่ไหน แน่ๆ ไม่ได้ทำงานในกรุงเทพฯ ตามที่โดยกล่าวอ้างมา และก็ส่งกลับไปให้กับสำนักงานทนายที่ทำการแจ้งความเรา ทางโน้นพอได้รับแล้ว เขาก็ถอนฟ้อง เขาบอกว่าไม่ต้องไปขึ้นศาลตามที่ระบุแล้ว …ทุกวันนี้ยังเก็บเอกสารเหล่านั้นไว้ เพื่อป้องกันสิ่งที่เราอาจจะไม่คาดคิด และเก็บไว้ย้ำเตือนตัวเองว่าให้ระวัง
สิ่งที่สันนิษฐานว่า เขาได้เอกสารเราไปได้อย่างไร สิ่งที่คิดและมั่นใจคือ น่าจะได้จากการสมัครทำบัตรเครดิตแน่ๆ เพราะปกติจะเป็นคนเซ็นต์คล่อมเอกสารทั้งหมด แต่ตอนนั้นที่ได้สมัครบัตรเครดิตไป ไม่รู้รีบอะไรไม่ได้เขียนคล่อม และเซ็นต์คล่อม เลยฟันธงได้ว่ามาจากแหล่งนี้แน่นอน
เพื่อนๆ รู้ไหมช่วงเวลานั้นมันเป็นช่วงที่เซ็งที่สุดในชีวิต!!!! เสียทั้งเงิน (ค่าโทรไปติดต่อ ค่าถ่ายเอกสาร ฯลฯ) เสียเวลา เสียความรู้สึก เสียสุขภาพเพราะเครียดนอนไม่หลับ อย่างนี้น่าจะฟ้องกลับได้นะ!! จวบจนทุกวันนี้หนึ่งไม่เคยใช้บริการของค่ายมือถือนั่นและไม่เหลือบตามองมันเลย
หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องหมายศาล สิ่งที่ได้คือ บทเรียนที่ไม่ลืม เกี่ยวกับการเซ็นต์เอกสาร การขีดคล่อมเอกสารว่าเราทำอะไร วันเวลา ขีด และเซ็นต์ตรงรูป ตรงเอกสารเรา ไม่ใช่ ที่ช่องว่าง และที่ในเมลล์เพื่อนบอกต้องเป็น ปากกา “สีดำ” เท่านั้น หากระหว่างเราเซ็นต์รับรองแล้วโดนเร่งว่ารีบๆ หน่อย อย่าไปสนใจ เขียน ขีด ให้เราแน่ใจว่าจะไม่โดนเอาเอกสารไปทำอย่างอื่น ไม่งั้นจะเจอเหมือนคุณหนึ่งนะจะบอกให้
Facebook Comments